Web Technology
HTML editor : ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์ ซึ่งต้องทราบ tag คำสั่งต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ Notepad, Notepad++, editplus เป็นต้น
Web Generator : เป็นเครื่องมือสำเร็จรูปเพื่อช่วยในการทำเว็บไซต์ เช่น โปรแกรม Dreamweaver,MS. Frontpage, Adobe GoLive
CMS : เป็นการพัฒนาต่อเนื่องเพราะผู้ใช้ต้องรู้จัก
– HTML
– Web Programming (PHP,ASP,Java,Ajax)
– ฐานข้อมูล (Microsoft Access, Microsoft SQL,MySQL, ProgreSQL)
– การรักษาความปลอดภัย
– ระบบเครือข่าย
– เป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่รวมเอา PHP+Web Programming+Database เข้าด้วยกัน
– ใช้งานง่าย โดยไม่ต้องรู้ระบบ (เบื้องต้น)
– เป็นการเน้นการจัดการเนื้อหาบนเว็บ : แบ่งหมวดหมู่
: สืบค้นตามหมวดหมู่
: แสดงสถิติการเข้าชม
Blog : เป็นเว็บไซต์ที่เป็นเว็บประเภทหนึ่งที่แสดงผลเนื้อหา โดยการควบคุมด้วยวันที่/เวลา เป็นตัวขับเคลื่อน
Blog = weB+Log (เป็นวันที่/เวลาดำเนินการหรือทำกิจกรรมหรือเหตุการณ์ใดๆ)
Web : ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเองได้ ซึ่งแตกต่างจาก Blog คือ การแสดงเนื้อหา ผู้ใช้สามารถแก้ไข กำหนดให้สิ่งไหนมาก่อนและหลังได้
Wiki : เว็บประเภทหนึ่งที่เน้นความเร็วในการนำเข้าข้อมูล สิ่งที่เป็นข้อห้ามคือ ห้ามตกแต่ง เน้นพิมพ์อย่างเดียว
– สามารถเก็บประวัติการแก้ไข,สร้างและเรียกคืนได้
ECM : Enterprise content management เหมาะสำหรับภาคธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะเป็นการนำเอาความสามารถ อย่าง Joomla+Blog+Wiki มาทำเว็บไซต์เพื่อนำเสนอ เช่น Alfresco, Knowledge Tree
การพัฒนา
– ศึกษาความต้องการของตนเอง
– รู้จักกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้องรู้เทคโนโลยี ว่า ใช้ OS อะไร ใช้ Device อะไร หรือ ใช้ Browser อะไร เป็นต้น
– เลือกซอฟต์แวร์ที่มีความเหมาะสม
– พัฒนาเว็บ ซึ่งต้องมีทั้งเว็บที่เป็นเว็บจำลองและเว็บที่ใช้จริง ข้อเสียคือ ต้อง Config ระบบค่ะ
– เลือก Extension
– ปรับปรุงเว็บ เช่น การเขียน Extension เพิ่มเอง (ต้องรู้ Code HTML) หรือการใช้ CSS เข้ามาช่วย เช่น
– Graphics จะใช้โปรแกรม Photoshop หรือ Illustrator เข้ามาช่วย
– การประชาสัมพันธ์ เช่น Search engine Optimize, Web 2.0
– Mutimedia เช่น โปรแกรม Flash
– กำหนดข้อกำหนด เช่น การใส่เครื่องหมายของ Keywords
– สรุปผลและวิเคราะห์ ควรติดตั้ง Web software analytics เช่น Truehits, Google Analytics เพื่อให้ทราบจำนวนของผู้ใช้จริง